วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

SHORTCUT ต่างๆ


ปุ่ม “F” ต่างๆ ที่พูดถึงมีชื่อเรียกว่า ปุ่มฟังก์ชัน (Function Keys)ซึ่งในอดีตโปรแกรมต่างๆ บนระบบปฏิบัติการ DOS จะใช้ปุ่มพวกนี้เป็นทางลัดในการเรียกฟังก์ชันการทำงานต่างๆ มากมาย ช่วยให้การใช้งานโปรแกรมสะดวกรวดเร็วมาก ซึ่งในอดีตเรายังไม่มีเมาส์ให้ใช้กันอย่างทุกวันนี้ ทุกอย่างจึงต้องพึ่งคีย์บอร์ด ปุ่มฟังก์ชันก็เปรียบเสมือนทางลัดในการเข้าถึงฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ได้โดยตรง สำหรับในกรณีของ Microsoft Word ที่คุณพูดถึงนั้น คุณสามารถใช้ปุ่มฟังก์ชันได้ทุกปุ่ม เพื่อการใช้งานคำสั่งพื้นฐานต่างๆ ซึ่งมีดังนี้
F1 - เรียก Help หรือ Office Assistant
F2 - ย้ายข้อความ หรือกราฟิกต่างๆ
F3 - แทรกข้อความอัตโนมัติ (AutoText)
F4 – ทำซ้ำสำหรับแอคชั่นการทำงานล่าสุดของผู้ใช้
F5 - เลือกคำสั่ง Go To (เมนู Edit)
F6 – กระโดดไปยังกรอบหน้าต่างถัดไป
F7 - เลือกคำสั่งตรวจสอบคำสะกด (Spelling ในเมนู Tools)
F8 – ขยายไฮไลต์ของการเลือกข้อความ
F9 - อัพเดตฟิลด์ต่างๆ ที่เลือก
F10 – กระโดดไปเมนูบาร์
F11 – กระโดดไปยังฟิลด์ถัดไป
F12 - เลือกคำสั่ง Save As (เมนู File)

อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน Windows ง่ายๆ ด้วยการจดจำ และเรียนรู้การใช้งาน Keyboard ผสมผสานกับการใช้งานเม้าส์ รับรองคุณจะทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
BACKSPACE (ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer)

ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
CTRL+A (เลือกทั้งหมด)
CTRL+C (คัดลอกข้อความที่เลือกไว้)

CTRL+X (ตัด)
CTRL+V (วาง)
CTRL+Z (ยกเลิก)
CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
• กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)

• กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)
ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก)
ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ)
ALT+Print Screen ใช้copy หน้าต่างที่เปิดล่าสุด ไปไว้ที่คลิปบอร์ด แล้วนำไปpaste ในที่ต่างๆได้
DELETE (ลบ)
SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin)

ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
• กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
• ปุ่ม Windows ถ้าใช้เดี่ยว ๆ จะเป็นการแสดง Start Menu
• ปุ่ม Windows + D ย่อหน้าต่างที่เปิดอยู่ทั้งหมด
• ปุ่ม Windows + E เปิด windows explorer
• ปุ่ม Windows + F เปิด Search for files
• ปุ่ม Windows + Ctrl+F เปิด Search for Computer
• ปุ่ม Windows + F1 เปิด Help and Support Center
• ปุ่ม Windows + R เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ RUN
• ปุ่ม Windows + break เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ System Properties
• ปุ่ม Windows +M ย่อขนาดหน้าต่างทั้งหมดลงมาเพื่อให้เห็น Desktop
• ปุ่ม Windows +shift + M เรียกคืนหน้าต่างที่ถูกย่อลงไปทั้งหมด
• ปุ่ม Windows + tab สลับไปยังปุ่มต่าง ๆ บน Taskbar
• ปุ่ม Windows + U เปิด Utility Manager

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Hot Key!

การใช้งานHot KeyในWINDOWS
* BACKSPACE = ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer
* ESC = ยกเลิกงานปัจจุบัน
* DELETE = ลบ
* CTRL ขณะที่ลากรายการ = คัดลอกรายการที่เลือก
* CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ = สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก
* CTRL+ESC = แสดงเมนู Start
* CTRL+A = เลือกทั้งหมด

* CTRL+C = คัดลอก
* CTRL+X = ตัด
* CTRL+V = วาง
* CTRL+Z = ยกเลิก
* Ctrl + Y = ไปข้างหน้ากรณีที่ย้อนกลับมา ไปใช้บน Word หรือพวก Editor ต่างๆ
* Ctrl + S = Save งาน
* CTRL+ ลูกศรขวา = ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป
* CTRL+ ลูกศรซ้าย = ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า
* CTRL+ ลูกศรลง = ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป
* CTRL+ ลูกศรขึ้น = ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป
* CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ = ไฮไลต์บล็อกข้อความ
* Ctrl + Tab = สับเปลี่ยนเอกสารที่เปิดไปมา เช่น เปิด เอกสาร1 + เอกสาร2 ก็จะสลับไปมาเอกสาร 1 เอกสาร 2 ใช้ได้มากกว่า 1

* CTRL+F4 = ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่
* CTRL+SHIFT+ESC = เปิด Task Manager
* Alt Shift (left) = สลับภาษา
* ALT+ENTER = ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก

* ALT+F4 = ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน
* ALT+ENTER = แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก
* ALT+SPACEBAR = เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่
* ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู = แสดงเมนูนั้นๆ

* ALT+TAB = สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่
* ALT+ESC = สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด
* Alt + D = การใช้งานเหมือน F6 แต่ว่าตอนเรียกคำว่าต้องให้ เป็น (EN)
* Alt + PrintScreen = จับภาพหน้าจอ เฉพาะหน้าที่เป็น Active Windows เอาไว้ในคลิปบอร์ด
* ปุ่ม F2 = เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก
* ปุ่ม F3 = ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์
* ปุ่ม F4 = แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer
* ปุ่ม F5 = อัปเดทหน้าต่าง

* ปุ่ม F6 = สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป
* ปุ่ม F10 = เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน
* อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด = ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ

* ลูกศรขวา = เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย
* ลูกศรซ้าย = เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย
* กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม = ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ
* SHIFT+F10 = แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก
* Shift + Click = ที่ลิงค์นั้น จะสามารถ เปิดหน้าเว็บใหม่ โดยที่เว็บเพจตัวเก่ายังคงเดิม
* SHIFT+DELETE = ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin
* SHIFT+ TAB = เลื่อนเมนูที่เลือกผ่านมา
* Shift end = เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงท้ายของบรรทัด
* Shift home = เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงต้นของบรรทัด
* Home = เมื่อใข้งานที่ IE ตัวนี้จะเป็นตัวมีอยู่ที่ด้านบน (Top) ของ หน้าเว็บ
* End = เมื่อใข้งานที่ IE ตัวนี้จะเป็นตัวมีอยู่ที่ด้านล่าง (Bottom) ของ หน้าเว็บ
* Page Up = เลื่อนหน้าเว็บขึ้นด้านบน
* Page Down = เลื่อนหน้าเว็บลงด้านล่าง
* ปุ่มวินโดวส์+M = Minimize ทุกๆวินโดวส์ทั้งหมด

* ปุ่มวินโดวส์+Shift+M = Restore วินโดวส์ทั้งหมดที่ถูก Minize ลงไป
* Windows Logo +D = สลับการแสดงเดสทอป
* Windows Logo +F1 = เปิดวินโดวส์ Help

* Windows Logo + Pause/Break = เปิด SystemProperties
* Windows Logo +E = เปิดวินโดวส์ เอกซ์ เพอ เร่อ Explorer
* Windows Logo +R = เปิดวินโดวส์ Run
* Windows Logo +F = เปิดการ Search
* Windows Logo + F1 =เปิดระบบช่วยเหลือของ Windows

* Windows Logo +Ctrl+F = เปิดการ Search เหมือนกัน ( WinMe & Win 98 )
* Windows Logo +Tab = ย้ายจุดเลือกของแต่ละ Task
* คลิกขวา + H = ใน IE เวลารูปไม่แสดง ทำให้รวดเร็วมากหากมีหลายรูปไม่เปิด
* คลิกขวา + S = ในเว็บหากต้องการ Save รูปกดนี้แป๊บเดียวเสร็จ
* คลิกขวา + N = คลิกที่ Link สำหรับเปิดหน้าต่างใหม่
* คลิกขวา + Shift เลือก Delete คลิก = เวลาลบแล้วไม่อยากให้อยู่ที่ถังขยะ คลิกขวาที่ File หรือ Folder แล้วกด Shift ค้างไว้ พร้อมกับนำ Mouse เลือก Delete แล้วคลิก เท่านี้ File ที่ลบก็ไม่มีใน Recycle Bin แล้ว
* Tab + Enter = กด Tab แล้ว Enter สำหรับการ Chat ใน ICQ เพื่อส่งข้อความรวดเร็วไม่ต้องนำ Mouse ไปคลิก Send ให้ยุ่งยาก

* PrintScreen = จับภาพหน้าจอทั้งหมดเอาไปไว้ในคลิปบอร์ด

การใช้งาน COMBO BOX
*F4 or ALT+DOWN ARROW = บังคับให้ Combo Box เปิด
*F9 = บังคับให้ข้อมูลใน Combo Box เปลี่ยนแปลงตามข้อมูลปัจจุบัน
*DOWN ARROW = ย้ายไปบรรทัดถัดไป
*PAGE DOWN = ย้ายไปหน้าถัดไป
*UP ARROW = ย้ายไปบรรทัดก่อนหน้า
*PAGE UP = ย้ายไปหน้าก่อนหน้า
*TAB = ออกจาก ComboBox

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การพิจารณาเลือกซื้ออุปกรณ์

การเลือกซื้ออุปกรณ์ให้เหมาะสมลักษณะงานที่ใช้
สเป็คเครื่องสำหรับพีซีระดับผู้ใช้ในออฟฟิศ
ซีพียูรุ่น Intel Pentium Dual Core หรือ AMD Athlon64x2 แรม512 MB ขึ้นไป ฮาร์ดิสก์ความจุ 160 GB เมนบอร์ดเลือกแบบที่มีมาตรฐานการเชื่อมต่อ AGP 4x หรือ 8x สำหรับการ์ดแสดงผลคุณภาพ การ์ดแสดงผล ควรเลือกการ์ดแสดงผลมาตรฐาน AGP 4x หรือ 8x ที่มีคุณภาพแสดงผลค่อนข้างสูง และขนาดหน่วยความจำบนการ์ด 32 MB ขึ้นไป
ไดรว์ CD/DVD CD-ROM หรือ DVD-ROM (อาจเพิ่ม CD-RW สำหรับเก็บข้อมูล)
จอแสดงผลควรเลือกขนาด 15-17 นิ้ว
สเป็คเครื่องสำหรับผู้ใช้งานระดับสูง
ซีพียูรุ่น Intel Core 2 Duo หรือ Intel Core 2 Quadแรมประเภท DDR2-800 ขนาด 1-2 GB ทำงานแบบ Dual Channel ฮาร์ดิสก์320 GB แบบ Serial ATA 300 เมนบอร์ดเลือกแบบที่มีมาตรฐานการเชื่อมต่อ AGP 8x สำหรับการ์ดแสดงผลประสิทธิภาพสูง การ์ดแสดงผลnVidia GeForce 8600GTS หรือ ATi Radeon HD 2600 Pro
จอแสดงผล LCD 19-22 นิ้ว
ประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด แบ่งได้กว้างๆมีอยู่2ประเภท
1.คอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อที่นิยมขายเป็นชุด (Computer Set) เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก คอมพิวเตอร์แบบนี้มีข้อดีตรงที่มีบริการหลังการขาย เมื่อเครื่องเสียหรือมีปัญหาสามารถส่งซ่อมได้ทันที ช่างจะแก้ไขให้ มักจะแถมซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการมาให้ และมีระบบเงินผ่อน ไม่ต้องเดินเลือกซื้อหาอุปกรณ์เอง ส่วนข้อเสียคือไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจเองได้ ราคาจะค่อนข้างแพงกว่าเลือกซื้อชิ้นส่วนประกอบเอง
2.คอมพิวเตอร์แบบเลือกซื้อชิ้นส่วนมาประกอบเอง เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความพิถีพิถันในการเลือกชื้นส่วนอุปกรณ์มาประกอบด้วยตัวเองมีข้อดีตรงสามารถเลือกซื้อชิ้นส่วนแต่ละชิ้นได้ด้วยตัวเอง ทำให้เราสารถเปรียบเทียบราคาและหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุดได้ ราคาค่อนข้างถูกกว่าแบบมียี่ห้อ ข้อเสีย ผู้ซื้อต้องความรู้เรื่องอุปกรณ์พอสมควร ต้องใช้เวลาในการเลือกซื้อ และเมื่ออุปกรณ์เกิดความเสียหายต้องนำไปร้านที่ซื้อมาเคลมให้จะใช้เวลานาน
การเลือกซื้อ ซีพียู (CPU)
ก่อนที่จะเลือกรุ่นของซีพียู สิ่งแรกที่จะต้องเลือกคือ INTEL หรือ AMD ดีซึ่งต้องตัดสินใจก่อน ชื่อเสียงของ INTEL คงเส้นคงวามาตลอดแต่ถูก AMD แซงไป สรุปง่ายๆคือ ให้เลือก AMD ถ้าต้องการประสิทธิภาพที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และเลือก INTEL ถ้าสนใจเรื่องยี่ห้อหรือไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพใดๆ
ข้อแนะนำในการเลือกซื้อก็คือ ถ้าไม่ต้องการใช้งานในด้านใดเป็นพิเศษก็ควรเลือก ที่เป็น Celeron D หรือ Pentium D ถ้าต้องการที่ใช้เช่น การตกแต่งรูป ตัดต่อวีดีโอ แต่ถ้าทำเป็นประจำก็เลือก Core 2 Duo ไปเลย โดยเฉพาะเป็นนักแต่งเพลง สร้างหนัง ทำแอนิเมชั่นก็เลือก Core 2 Quad
การเลือกซื้อชุดระบายความร้อนกับซีพียู สิ่งที่สำคัญที่ควรคำนึงในการเลือกซื้อชุดระบายความร้อนให้กับซีพียู ซั้งประกอบด้วย พัดลมระบายความร้อน และฮีตซิงค์ ก็คือวัสดุใช้ทำฮีตซิงค์ การออกแบบครีบระบายความร้อน ความเร็วรอบในการหมุนของพัดลมซีพียู และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เป็นรูปแบบมาเพื่อให้ใช้กับซีพียู และซ็อคเก็ตแบบใด ซึ่งแต่ละแบบไม่เหมือนกัน

การเลือกซื้อเมนบอร์ด
- เลือกรูปแบบหรือฟอร์มแฟกเตอร์ให้เหมาะสมกับเคส - เลือกช่องสำหรับติดตั้งซีพียูบนเมนบอร์ด
- เลือกช่องสล็อกสำหรับติดตั้งหน่วยความจำ - เลือกชนิดและจำนวนของช่องสล็อกบนเมนบอร์ด
-เลือกช่องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกหรือพอร์ตแบบต่างๆ - เลือกคุณสมบัติอื่นๆเพิ่มเติม

การเลือกซื้อหน่วยความจำ

ชนิดของแรม เลือกให้ตรงกับสล็อตติดตั้งบนเมนบอร์ด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภท คือ SDRAM ที่กำลังจะหมดไป ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ แรมชนิด DDR-SDRAM ซึ่งเป็นมาตรฐานของแรมในปัจจุบัน และ RDRAM ที่มีความเร็วสูงสุด ใช้ทำงานร่วมกับเมนบอร์ดสำหรับซีพียู Pentium 4 ขึ้นไป
ขนาดของแรมในปัจจุบันมีอยู่หลายขนาด ได้แก่ 64 128 256 และ 512 MB ให้เราพิจารณาจากความต้องการการใช้งานของเครื่อง สำหรับเครื่องทั่วไปเลือกขนาด 128-256 MB ก็เพียงพอ แต่สำหรับเครื่องที่ทำงานด้านมัลติมีเดีย/กราฟิกส์ระดับสูงควรใช้แรมขนาด 512MB ขึ้นไป
ความเร็วของแรม ความเร็วในการทำงานแรมแต่ละประเภทจะแตกต่างกันไป เช่น SDRAM จะมีความเร็วอยู่ที่ 66 100 หรือ 133 MHz ส่วน DDR-SDRAM มีความเร็วที่ 200 266 333 400 หรือ 433 MHz และ RDRAM จะทำงานที่ความเร็วสูงถึง 600 700 800 และ 1066 MHz ซึ่งความเร็วนี้ต้องรองรับกับซีพียูที่เราใช้งานด้วยว่าทำงานที่ระบบบัสเท่าไร
การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
ขนาดความจุ ฮาร์ดดิสก์มีขนาดเป็น GB หรือพันล้านไบต์ ความจุของฮาร์ดดิสก์ยิ่งสูงยิ่งมีเนื้อที่เก็บข้อมูลมากขึ้น การเลือกขนาดของฮาร์ดดิสก์นั้นเราต้องคิดเผื่อถึงขนาดข้อมูลที่จะทำงานในอนาคตด้วย ความจุฮาร์ดดิสก์ที่มีให้เลือกในปัจจุบันมีตั้งแต่ 20 40 60.. GB
อัตราการส่งผ่านข้อมูลของฮาร์ดดิสก์มีหน่วยเป็น MB/s(ล้านไบต์ต่อวินาที) ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ที่มีวางขายอยู่จะเป็นแบบ Ultra ATA/66 ATA/100 และ ATA/133 แต่เมนบอร์ดจะต้องสนับสนุนกับค่าความเร็วเหล่านี้ด้วย
ความเร็วรอบ RPM: Round Per Minute หรือรอบต่อนาที ยิ่งจำนวนรอบยิ่งสูงอัตราการอ่านข้อมูลต่อวินาทียิ่งมาก ฮาร์ดดิสก์ที่มีวางขายในตลาดจะมีอยู่หลายรุ่น เช่น รุ่น 5400 RPM, 7200 RPM และ 10000 RPM แนะนำให้เราซื้อฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM โดยเฉพาะกับงานที่เราใช้ต้องเขียนหรืออ่านไฟล์จากฮาร์ดดิสก์บ่อยๆ
เวลาในการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวข้องกับความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยตรง ยิ่งค่านี้น้อยมากเท่าไร ทำให้การทำงานกับฮาร์ดดิสก์เร็วยิ่งขึ้น เวลาในการเข้าถึงข้อมูลโดยเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ 8-12 มิลลิวินาที(ms) ส่วนระยะเวลาแนะนำคือ 8-9 มิลลิวินาที
ขนาดของบัฟเฟอร์ของฮาร์ดิสก์ทั่วไปจะอยู่ที่ 2-8 MB ยิ่งบัฟเฟอร์มีขนาดใหญ่ยิ่งดี เพราะในการอ่านข้อมูล ฮาร์ดดิสก์จะอ่านข้อมูลไปเก็บไว้ที่บัฟเฟอร์ก่อน แล้วจึงค่อยส่งข้อมูลออกไป ส่วนในกรณีรับข้อมูลเข้ามา ก็จะเก็บไว้ที่บัฟเฟอร์ก่อนแล้วจึงค่อยเขียนลงดิสก์จริงๆ
การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล (VGA Card)
ในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผล คงต้องประเมินดูสภาพการใช้งานว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร โดยอาจแบ่งแยกงานเป็นสองกลุ่มคือ งานประเภทต้องใช้ภาพ3มิติหรือการแสดงผลมัลติมีเดียการตัดต่อวิดีโอ กับอีกกลุ่มได้แก่การใช้งานทั่งไปในสำนักงานใช้เพื่อเชี่อมต่ออินเทอร์เน็ต การ์ดที่ใช้แสดงผลสามมิติ (3D) และเล่นเกมแบบสามมิติ ต้องใช้ชิพตัวเร่งพิเศษ การ์ดพวกนี้จะมีราคาแพงขึ้น สำหรับการเลือกการ์ดแสดงผลใช้งานทั่วไปเลือกตัวเร่งที่มีราคาถูกลง ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกได้มาก โดยปกติใช้ชิพตัวเร่งรุ่นเดียวกับพวก 3D เกมได้ แต่การ์ดพวกนี้จะใช้ความเร็วสัญญาณนาฬิกาและหน่วยความจำน้อยกว่า ทำให้มีราคาแตกต่างกันมาก การ์ดแสดงผลหลายรุ่นมีขีดความสามารถพิเศษ เช่น มีส่วนของการเชื่อมต่อเป็น TV-out เพื่อใช้สำหรับแสดงผล VCD และ DVD เพื่อต่อกับ TV ได้โดยตรง โดยคอมพิวเตอร์จะทำตัวเป็นเครื่องเล่น DVD ให้
การเลือกซื้อ Sound Card สำหรับคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าหากภาพดี แต่เสียงไม่ดีมีคุณค่า อรรถรสมนความบันเทิงก็ดูจะขาดหายไป พิจารณาเลือกซื้อนอกเหนือจากเรื่องของยี่ห้อและราคาควรคำนึงถึงคุณสมบัติต่างๆด้วย

การเลือกซื้อ Modem สำหรับคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือแบบ Internal Modem และ External Modem ซึ่งขอแยกข้อดีและข้อเสียของ Modem ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
Internal Modem จะมีข้อดีคือ ราคาถูกกว่า ไม่เกะกะสายตา เพราะจะเป็นการ์ดเสียบติดไว้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเลย ไม่ต้องต่อสายหรือต่อ Power Supply ให้ยุ่งยาก และไม่เปลือง COM Port ที่มีอยู่จำกัด แต่ข้อเสียของ Internal Modem คือ การเคลื่อนย้าย หรือถอดออกไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ จะทำได้ค่อนข้างยาก และมักจะมัปัญหาหลาย ๆ อย่างตามมาด้วยเช่น สายอาจจะมีโอกาสหลุดได้บ่อย (ปัญหาหลักที่พบกันมาก) ต้องการ CPU ที่มีความเร็วค่อนข้างสูง จึงจะใช้งานได้แบบไม่มีปัญหา
External Modem จะมีราคาแพงกว่าแบบ Internal Modem และจะต้องมีสายต่อต่าง ๆ อยู่ภายนอกเครื่องให้เกะกะสายตาดี แต่ก็จะมีข้อดีคือ พบปัญหาของสายหลุดได้น้อยมาก และสามารถใช้งานกับ CPU ที่มีความเร็วไม่สูงมากนักได้สบาย ๆ การเคลื่อนย้ายก็ทำได้ง่าย
การพิจารณาเลือกซื้อจอภาพ

ระเภทของจอแสดงผล ถ้าจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์กันเป็นเวลานานๆ 4-8 ช.ม. โดยมีเวลาหยุดพักสายตาไม่มาก แนะนำให้เราซื้อจอ CRT แบบ Flat Trinitron หรือจอ LCD จะดีกว่า แต่ถ้าเราไม่มีงบพอ หรือมีช่วงเวลาพักสายตาอยู่บ้าง ก็ใช้จอแบบ CRT ก็เพียงพอแล้ว

รังสีจากจอแสดงผล การเลือกจอมอนิเตอร์แบบ CRT ควรเลือกแบบที่รังสีต่ำ (Low Radiation) เพราะผลเสียจากรังสีมีตั้งแต่ทำให้ปวดหัว ปวดตา เวียนศรีษะ ทำให้สายตาสั้น และมีผลต่อแก้วตา ส่วนจอ LCD หรือจอ Plasma Display จอประเภทนี้มีรังสีต่ำมาก
อัตราการแสดงภาพ เลือกรุ่นที่มี Refresh Rate สูงๆ สัก 75 Hz ขึ้นไป เนื่องจากถา Refresh Rate ต่ำเรสจะเห็นจอกระพริบอยู่ตลอด นั่นจะทำให้เราปวดหัว ปวดตา ได้เหมือนกัน
ขนาดจอภาพปัจจุบันมีมาตรฐานอยู่ 2 ขนาดที่ได้รับความนิยม คือ 15 นิ้วและ 17 นิ้ว ข้อดีของจอ 17 นิ้วคือเหมาะสำหรับงานออกแบบกราฟิกส์ เพรามีพื้นที่มากกว่า แต่มีราคาสูงกว่าจอ 15 นิ้ว

การเลือกซื้อ UPS การเลือกซื้อ UPS จะมีในเรื่องขนาด ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ซึ่งโดยทั่วไปควรจะอยู่ที่ประมาณ 500-800 VA

การเลือกซื้อ Case &power supply สำหรับเมนบอร์ดก็เป็นอีกข้อหนึ่งครับที่ไม่ควรมองข้าง โดยทั่วไปแล้วคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ จะใช้ Case แบบ AT แต่ถ้าหากเป็นรุ่นใหม่ ๆ แล้วจะเป็นแบบ ATX ข้อดีของ Case และ Power Supply แบบ ATX คือ การออกแบบให้มีการระบายความร้อนได้ดีกว่า และการใช้ Power Supply แบบใหม่ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานระบบ Power Management ต่าง ๆ ได้เช่นการตั้งเวลา เปิด-ปิด เครื่อง เป็นต้น และนอกจากนี้ เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ นี้ก็จะใช้กับ Case และ Power Supply แบบ ATX เป็นส่วนใหญ่ ขนาดของ Power Supply รุ่นเก่า ๆ จะเป็น 200 วัตต์ หากเป็น Power Supply รุ่นใหม่ ๆ ก็จะเป็น 230-300 วัตต์ หรือสูงกว่านี้แล้ว ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกขนาดของ Power Supply ขนาดวัตต์สูง ๆ
การพิจารการเลือกซื้อ CD-ROM Drive สำหรับคอมพิวเตอร์
ในส่วนของ CD ROM Drive เลือกยี่ห้อที่ทน หรืออาจจะเลือกซื้อจากร้าน ที่มีการรับประกันดี ๆ ความเร็วก็ประมาณซัก 40X ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งเป็น CD ROM Drive ที่มีความเร็วสูงมากเท่าไร เสียงก็จะยิ่งดังมากขึ้น ยกเว้น CD ROM Drive บางยี่ห้อหรือบางรุ่น จะสามารถปรับความเร็วให้ลดลงมาได้ด้วย รวมทั้งหากคุณใช้งานแผ่น CD-RW ก็คงต้องเลือกรุ่นที่สามารถอ่านแผ่น CD-RW ได้ด
การเลือกซื้อเครื่องพิมพ์
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ : ใช้พิมพ์งานเอกสาร มีความละเอียดมากที่สุด และความเร็วสูงสุดในบรรดาเครื่องพิมพ์ทั้งหลายมากที่สุด มี 2 แบบ คือแบบขาว/ดำ เหมาะสำหรับงานพิมพ์ในสำนักงาน และแบบสี สำหรับงานพิมพ์ขั้นสูง
เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต : ใช้พิมพ์งานสี มีความละเอียดน้อยกว่าเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ ราคาเครื่องถูก แต่หมึกพิมพ์แพง เหมาะสำหรับงานสี อาร์ตเวิร์ค สิ่งพิมพ์ และรูปถ่าย สติกเกอร์ หากจะใช้งานพิมพ์ขาว/ดำ ราคาหมึกต่อแผ่นจะสู้เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ไม่ได้
เครื่องพิมพ์ดอตเมทริกซ์ : มีความละเอียดต่ำราคาหมึกถูก แต่พิมพ์ช้า เสียงดังปัจจุบันถูกนำมาใช้แค่การพิมพ์กระดาษไขสำหรับงานโรเนียว หรือพิมพ์โดยซ้อนกระดาษคาร์บอนเท่านั้น
การเลือกซื้อเครื่อง
Scanner ควรเลือกหัวสแกนแบบ CCD ความละเอียด 1200 x1200 จุดต่อตารางนิ้วขึ้นไป สแกนเนอร์บางรุ่นสามารถสแกนแผ่นฟิล์ม แผ่นสไลด์ได้ แต่มีราคาแพงพอสมควร

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สเปคคอมพิวเตอร์


รุ่น Veriton S 670G
· Intel Core 2 Quad Processor Q9400
(2.66 GHz , 12MB L2 Cache, 1333MHz FSB)
ซีพียูเป็นของ Intel รุ่น Core 2 Quad ความเร็วอยู่ที่ 2.66 กิกกะเฮิร์ต มี L2 Cache ขนาด 12เมกกะไบต์ มีบัสขนาด 1333 เมกกะเฮิร์ต
· Windows Vista Business ลงวินโดวส์วิสต้าธุรกิจมาให้
· 320GB SATA HDD มีฮาร์ดดิสขนาดความจุ 320 กิกกะไบต์ ฮาร์ดดิส เป็นแบบ SATA คือการใช้เทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลแบบอนุกรม มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง
· 4GB DDR3-1066 Up to 8GB แรมขนาด 4 กิกกะไบต์ เป็นแรมชนิด DDR3 ความเร็วบัส 1066 MHz ทำงานได้เร็วขึ้นสามารถอัพได้เต็มที่ 8 กิกกะไบต์
· ติดตั้งดิสก์ไดรฟ์แบบ DVD-RW 16X SuperMulti Label Flash & Disc Technology
· มีการ์ดจอออนบอร์ด Integrated Intel Graphics Media Accelerator 4500
· มีการ์ดจอแยกเป็นของ ATI Radeon รุ่น 4350 มีหน่วยความจำ 512MB มีขั้วแบบ DVI+HDMI
· Gigabit Ethernet LAN on Board มีช่องเสียบสายแลนติดมากับเมนบอร์ด
· ระบบเสียงแบบ Embedded High Definition Audio Codec 7.1 Surround Sound Ready
· 10 USB. 2.0 Ports ( 4 Front 6 Rear ) มีช่อง USB 10 ช่อง อยู่ด้านหน้าของเคส 4 ช่อง ด้านหลัง 6 ช่อง
· จอแสดงผลเป็นจอ LCD Monitor ยี่ห้อ Acer ขนาด 17 นิ้ว

· Warranty 3 years รับประกัน 3 ปี

Office Pladao

ปลาดาว ออฟฟิศ คือ ชุดโปรแกรมสำนักงานที่รองรับการทำงานกับเอกสารภาษาไทย สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และมีโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) สร้างตารางคำนวณ (Spreadsheet) นำเสนองาน (Presentation) วาดภาพแบบเวกเตอร์ (Drawing) และโปรแกรมสมการคณิตศาสตร์ (Equation) ใช้ได้กับ 3 ระบบปฏิบัติการหลัก คือ Solaris, Linux, หรือ Windows นอกจากนี้ ปลาดาวมีคุณสมบัติการใช้งานเอกสารที่มาจากต่างระบบกันได้ (cross platform) ตัวอย่างจากการทดลองการใช้งาน ปลาดาวสามารถเปิดเอกสารที่สร้างขึ้นจาก Microsoft Excel หรือ Microsoft Word ขึ้นมาใช้ปรับปรุงแก้ไขได้ โปรแกรมหลักๆ ของปลาดาว ออฟฟิศมีดังนี้
1. Writer เป็นโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft Word
2. Calc เป็นโปรแกรมตารางคำนวณ (Spreadsheet) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft Excel
3. Impress เป็นโปรแกรมนำเสนองาน (Presentation) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft PowerPoint
4. Draw เป็นโปรแกรมวาดภาพแบบเวกเตอร์ (Drawing)
5. Math เป็นโปรแกรมพิมพ์สมการคณิตศาสตร์ (Equation)
ปลาดาวออฟฟิศจึงเป็นทางออกของผู้ใช้ซอฟต์แวร์ออฟฟิศในภาวะคุมเข้มของกฎหมาย ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเมืองไทย ด้วยความสามารถในการใช้ภาษาไทยได้ และมีโปรแกรมหลักหลาย ตัวที่มีคุณลักษณะคล้ายกับโปรแกรมสำนักงานอย่าง Microsoft Office และสามารถดาวน์โหลดได้ ฟรีพร้อมกับติดตั้งได้ทุกเครื่องทุกแพลตฟอร์ม

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิวัฒนาการของ Intel

รุ่น 80486
ความจริงก็คือ 80386 รุ่นปรับปรุงนั้นเองโดยได้เพิ่มตัวประมวลผลทางคณิตศาสตร์ (Math co-processor) เพิ่มหน่วยความจำ Cache ภายใน CPU ทำให้ 80486 ทำงานได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้เพิ่มการทำงานที่เรียกว่าpipeliningเข้าไป แต่เนื่องจากว่า 80486 ที่มี math co-processor มีราคาค่อนข้างสูง Intel จึงได้ออก CPU 80486SX ซึ่ง ได้ถอด math co-processor ออก ( ตัว 80486 ที่มี math co-processor เรียกว่า 80486DX) ทำให้มีราคาถูกลง ตัว 80486 เองได้มีการปรับปรุงขึ้นมาอีกขั้นขึ้นการทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Clock doubling คือ เป็นการเพิ่ม Speed ของ Clock ให้สูงขึ้น เช่น 80486DX/2 ทำงาน Clock speed 40/50/60 MHz 80486DX4 ทำงานที่ Clock speed 100 MHz เป็นต้น จากการที่ Clock speed สูงขึ้น บวกกับการที่ได้เพิ่มอุปกรณ์บางอย่างเช่น หน่วยความจำแคชที่มากขึ้น ทำให้ CPU รุ่นนี้ได้รับความนิยมอยู่เป็นเวลานาน และทำให้มีบริษัทอื่น นอกจาก Intel เริ่มเข้ามาผลิต CPU สำหรับ PC ออกมาแข่งขันกัน ได้แก่ Cylix และ AMD เป็นต้น โดยในรุ่น80486นี้ได้มีการเริ่มใช้ระบบที่เรียกว่า pipeliningในCPU
Pipelining
เทคนิค Pipelining หรือที่เรียกว่า Instruction Pipelining เป็นกระบวนการทำงานของโปรเซสเซอร์ที่สามารถ อ้างอิงแอดเดรสปลายทางได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องการรอให้ข้อมูลที่กำลังมองหาอยู่นั้น ถูกจัดการเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยอ้างอิงแอดเดรสต่อไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขณะที่ข้อมูลกำลังเดินทางมายังโปรเซสเซอร์นั้น ตัวโปรเซสเซอร์สามารถปลดปล่อยแอดเดรสชุดต่อไป อย่างไม่รอช้า โดยไม่ต้องรอให้ข้อมูลวิ่งมาถึงตนเองเสียก่อน
ลักษณะนี้ จะเห็น แผนกอ้างอิงแอดเดรส ก็ทำงานของมันไป ขณะที่ข้อมูลกำลังเดินทางเข้ามา พร้อมกับข้อมูลที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ได้รับการจัดการในเวลาเดียวกัน
Pentium
เนื่องจากเริ่มมีบริษัทอื่นๆ ผลิต CPU สำหรับ PC ออกมาแข่งขันกับ Intel จึงทำให้ CPU รุ่นถัดมาของ Intel ไม่ใช้ชื่อเรียกเป็นหมายเลข ใช้เป็นชื่ออื่นแทน หลายท่านคงมีความเข้าใจ Pentium เป็น CPU ขนาด 64 บิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เนื่องจาก Pentium จะออกแบบมาคล้ายๆ กับใช้ 80486 สองตัวทำงานคู่ขนานกัน ทำให้กลไกการทำงานทั้งภายในและนอกตัว CPU เป็น 64 บิตไปโดยปริยาย CPU ของค่ายอื่นที่ออกมาในช่วงนี้ ก็มี AMD K5, Cylix 6x86 ซึ่งได้มีการเพิ่มความสามารถที่เรียกว่า Superscalar
Superscalar

โปรเซสเซอร์ที่มีมาในอดีต จะใช้จักรกลของการคำนวณและจัดการกับคำสั่ง เพียงชุดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่า โปรเซสเซอร์ดังกล่าว จะสามารถทำงานในระบบ Pipelining ก็ตาม ลักษณะนี้ตัวโปรเซสเซอร์จะสามารถสร้างผลลัพธ์ ต่อหนึ่งชุดคำสั่งที่ได้รับด้วยเวลา คิดเป็น Clock Cycle จำนวนหนึ่ง แต่ด้วยการเพิ่มชุดของจักรกลการคำนวณและการจัดการ เข้าไปหลายๆชุด จะทำให้โปรเซสเซอร์สามารถจัดการกับคำสั่ง ได้มากกว่า 1 คำสั่งขึ้นไป ต่อหนึ่ง Clock Cycle ด้วยวิธีการ เช่นนี้ ทำให้โปรเซสเซอร์ Pentium ที่ถูกจัดว่า เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Superscalar สามารถจัดการกับคำสั่ง ได้ถึง 2 คำสั่งภายในหนึ่งลูกคลื่นสัญญาณนาฬิกาเท่านั้น ซึ่งผิดกับ 80486 CPU ที่จะต้องใช้เวลาถึง 2 ลูกคลื่นสัญญาณนาฬิกา เพียงเพื่อจัดการกับ 1 คำสั่งเท่านั้น
Pentium PRO
เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจากPentium ซึ่งได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพของ Superscalar ให้ดีขึ้นและได้มีการเปลี่ยนชื่อของRegister และที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มเทคโนโลยี Dynamic Executionซึ่งประกอบไปด้วย
- branch prediction
- data flow analysis
- speculative execution
Branch Prediction
เป็นวิธีการทำนายการไหลของโปรแกรมโดยการใช้ Branches หลายแขนง ( ในบางครั้งก็มีความเป็นไปได้ที่จะพยากรณ์แอดเดรสเป้าหมายของ Branch เงื่อนไข โดยอาศัยลักษณะพิเศษของการ Execute คำสั่ง ตัวอย่าง เช่น แอดเดรสเป้าหมาย ของ Branch Instruction ที่ควบคุม การทำงานลักษณะย้ำแบบ Loop นั้น หากคล้ายกับแอดเดรสของคำสั่งแรกใน Loop ก็จะทำการดึงออกมาใช้งานพร้อมกันแบบ Pipeline ได้ทันที) ซึ่งการใช้กรรมวิธี Multiple Branch จะช่วยให้การทำนายตำแหน่งของข้อมูลคำสั่งที่จะเข้าไปดึงออกมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถพยากรณ์ได้ว่า คำสั่งต่อไปที่โปรเซสเซอร์ต้องการจะนำมาจัดการนั้น อยู่ ณ ที่ใดของหน่วยความจำ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 90% ซึ่งสามารถทำได้ เนื่องจากขณะที่โปรเซสเซอร์กำลัง ดึงคำสั่งจากหน่วยความจำอยู่นั้น มันจะมองคำสั่งชุดต่อไป จากโปรแกรมแบบล่วงหน้า ซึ่งลักษณะนี้จะช่วยให้เกิดการเร่งการไหลของงานสู่โปรเซสเซอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Data Flow Analysis
เป็นวิธีการวิเคราะห์และสร้างหมายกำหนดการสำหรับคำสั่งที่ต้องการจะนำมาจัดการแบบมีลำดับ ที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่กำลังติดต่ออยู่
โดยวิธีการ Data Flow Analysis นี้ ตัวโปรเซสเซอร์จะมองไปที่ รหัสคำสั่งทาง Software ที่ถูกถอดออกมาแล้ว ว่า เป็นชุดคำสั่งหรือข้อมูลที่พร้อมแล้วสำหรับการ Execute จัดการโดยโปรเซสเซอร์ หรือว่า เป็นเพียงรหัสคำสั่ง ที่ต้องพึ่งพาอาศัยคำสั่งหลักอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมที่จะให้โปรเซสเซอร์นำไปจัดการ ทำให้โปรเซสเซอร์สามารถจัดลำดับของคำสั่ง หรือข้อมูลที่จะนำมา Execute จัดการได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปตามจังหวะจะโคน
Speculative Execution
เป็นวิธีการเพิ่มอัตราของการ Execution หรือการจัดการกับคำสั่งที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการมองไปข้างหน้าที่โปรแกรม เคาน์เตอร์ (Program Counter) โดยที่ Program Counter หรือ PC จะทำหน้าที่สร้างแอดเดรสที่ต้องการจะ Execute สำหรับรอบต่อไปของโปรเซสเซอร์ พูดง่ายๆก็คือ ขณะที่โปรเซสเซอร์กำลังจะปลดปล่อยแอดเดรสออกไปที่ปลายทางนั้น มันจะเตรียมการป้อนค่าแอดเดรสถัดไป ที่มันต้องการใช้ในโปรแกรม เคาน์เตอร์แบบล่วงหน้า ทำให้ประหยัดเวลา ไม่ต้องรอคอย และสามารถส่ง แอดเดรสไปยังเป้าหมายทีเดียวถึง 5 ตำแหน่งแอดเดรสในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดกระแสของข้อมูล และ แอดเดรสไปกลับระหว่างโปรเซสเซอร์ และเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
Pentium MMX, AMD K6 3DNOW, Cylix 6X86MX
ก็คือ Pentium ที่เพิ่มความสามารถในเชิงมัลติมิเดีย ( MMX สำหรับ Pentium, 3DNOW สำหรับ AMD) และนอกจากนี้ยังได้เพิ่ม หน่วยความจำแคช Level 2 เข้ามาในตัว CPU มากน้อยแตกต่างกันในแต่ละค่าย ซึ่งได้มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่าSIMD (Single Instruction Multiple Data )
SIMD (Single Instruction Multiple Data )
เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คำสั่งเดี่ยวๆ เพียงคำสั่งหนึ่ง สามารถใช้กับข้อมูลได้หลายๆชุดพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดี ถ้าหากจะต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานแบบซ้ำๆกันบน ชุดของข้อมูลที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของการทำงานประเภทนี้ ได้แก่การแปลงข้อมูลสำหรับการสร้างภาพที่มีด้านหลายๆด้าน (Polygon) ในทางคณิตศาสตร์ ให้เป็นภาพ Polygon แบบ 3D บนจอภาพ ซึ่งปกติกระบวนการนี้ จะต้องใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน
Pentium II
Celeron, PentiumII, Pentium III จะมีการเพิ่มส่วนขยาย MMX ออกไป ปรับสถาปัตยกรรมภายในใหม่ ทำให้มีการประมวลผลในเชิงจุดทศนิยมได้ละเอียดและถูกต้องมากขึ้น เพิ่มความสามารถในเชิง 3 มิติเข้าไป ส่วน Celeron จะมีคุณสมบัติอื่นๆ เหมือนกับ Pemtium เพียงแต่ตัด L2 ( หน่วยความจำแคช ระดับ 2) ออกไปให้น้อยกว่า หรือไม่มีเลยในบางรุ่น ส่วน CPU ของค่ายอื่นๆ ก็ปรับปรุงขึ้นเป็น AMD K6, AMD K7 ตามลำดับ นอกจากนี้ CPU ในตระกูลเหล่านี้ยังสามารถทำงานกับ Clock speed สูงๆ ได้ 600 - 700 MHz เลยที่เดียว (แล้วแต่รุ่นของ CPU)
Pentium III
รุ่นแรก มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับ Pentium แต่เพิ่มชุดคำสั่งที่ใช้ในการประมวลผล Multimedia เข้าไปที่เรียกว่า KNI หรือ MMX2 หรือ SSE (Steamming SIMD Extension) และมีการลดขนาด แคช จาก 512 KB เป็น 256 KB ทำงานที่ความเร็วเดียวกับ CPU โดยในปัจจุบัน Pentium III จะถูกแบ่งออกเป็นหลายรุ่นโดยจะมีรหัส E และ B ต่อท้าย โดย E มีความหมายว่าเป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม 0.18 Micron ซึ่งจากเดิมจะเป็นแบบ 0.25 Micron ส่วน B มีความหมายว่า เป็น CPU ที่ใช้ Bus 133 MHz ซึ่ง CPU ในรุ่นนี้ยังได้มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมบางอย่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ให้สูงขึ้นกว่าเดิม และใช้ Packet แบบ FCPGA
Pentium IV
Pentium 4 เป็น CPU รุ่นล้าสุดซึ่งสนับสนุนความเร็ว Bus ที่ 400 MHz และมีการเพิ่มชุดคำสั่งใหม่เข้าไปที่เรียกว่า SSE2 ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผล Multimedia ดีขึ้น
Itanium
Itanium หรือ เดิมชื่อ Merced ซึ่งเป็น CPU สำหรับ Server หรือ Workstation Itanium นี้ มี Transistor อย่ 2.5 ล้านตัว บรรจุอยู่ใน Cartridge ซึ่งจะมีการรวมเอา Cache ระดับ 3 ขนาด 4 M เข้าไว้ด้วย แถมยังมีการนิยาม คุณสมบัติใหม่อีก คือ BSB หรือ Back-Side Bus ซึ่งจะทำให้ Cache
ระดับ 3 นั้น สามารถทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU ได้เลย แม้ว่าจะ ไม่ได้อยู่บนแผ่น Die เดียวกันกับ CPส่วน FSB หรือ Front-Side Bus นั้นจะใช้ระดับ 266 ล้าน Transfers per Second ซึ่งจะมากเป็นเท่าตัว ของ Bus 133 MHz on ซึ่งCPUรุ่นนี้ประมวลผลทีละ64 bit
SledgeHammer
SledgeHammer หรือมีชื่อเป็นทางการว่า Opteron ซึ่งจะเป็นซีพียูในระดับไฮเอนด์สำหรับเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชั่นที่ต้องการความเร็วสูงเป็นพิเศษ SledgeHammer เป็น CPU 64 Bit แต่จะสนับสนุนการทำงานของ CPU มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป
Sledgehammer มีรีจีสเตอร์สำหรับคำนวนเลขทศนิยม 16 ตัว มีรีจีสเตอร์สำหรับงานทั่วไป (General-purpose register GPR) 16 ตัว มีแคช L1 128KB L2 512 - 2MB เป็น CPU แบบ socket A ใช้ Mainboard ที่มี Clock Speed 266 MHz และออกแบบวงจรขนาด 0.13 ไมครอน และใช้การเชื่อมต่อโดยทองแดง

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิวัฒนาการของ CPU AMD

AMD หรือ Advanced Micro Devices, Inc เป็นผู้ผลิตซีพียูแบบเทียบเท่า(Compatible)กับ X 86 รายแรกที่สามารถเทียบชั้นกับ INTEL ได้ในปัจจุบันที่ผ่านมาAMDเริ่มต้นด้วยการรับจ้างผลิตซีพียูให้กับ INTEL ในยุคของ 80286ที่ INTEL ผลิตเองไม่ทันขายและต่อมาก็ได้มีการพัฒนาซีพียูของตนเองขึ้นมาไล่ตาม INTEL อยู่นานจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้จึงสามารถแข่งขันกับซีพียูรุ่นต่างๆของ INTEL ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งรายละเอียดของซีพียูของทาง AMD มีดังนี้

- AMD 286 386 486 586
ซีพียูรุ่นเหล่านี้ ยกเว้น 586 แล้ว ล้วนเป็นการผลิตด้วยสิทธิ์ที่ได้จากทาง INTELทั้งสิ้นจึงไม่มีข้อแตกต่างจากข้อง INTEL เลย เว้นแต่ความเร็วสูงสุดจะเร็วกว่าข้องทาง INTEL อยู่หนึ่งระดับเท่านั้นเนื่องจากมักจะเลิกผลิตที่หลังนั้นเอง คือมี286/20 MHz (INTEL 16MHz) 386/40MHz (INTEL 33 MHz) แต่จะมี586/133 เท่านั้นที่ ส่วนที่ตั้งชื่อว่า 586 เพราะ INTEL ได้ออก Pentiumมาแล้ว ซึ่งความจริง586 ก็คือ 486 ที่ทำงานที่ 133 MHz (33 คูณ 4) นั้นเอง

- K5
K5 เป็นซีพียูรุ่นแรกของ AMD ที่เทียบเท่ากันกับ Pentium ของ Intel ประสิทธิภาพของ K5 จะใกล้เคียงกับ Pentium ทั้งนี้ AMD ไม่ใช้ความถี่ของสัญญาณนาฬิกาเป็นชื่อของรุ่น เปลี่ยนไปใช้คำว่า PR ตามด้วยความเร็วของ Pentium ที่ซีพียูรุ่นนั้น ๆ เทียบเคียงด้วย เนื่องจาก K5 ใช้ความถี่ต่ำกว่า แต่ถ้าเทียบกันแล้วจะสามารถทำงานได้เร็วกว่า Pentium ซึ่งใช้ความถี่เดียวกัน ดังนั้นการใช้คำว่า PR (คือ Pentium Rate) จะให้ผลที่ดีกว่าในทางการตลาด ผู้ซื้อจะได้ไม่รู้สึกว่าซื้อของที่แย่กว่า ซีพียูรุ่นนี้มี 2 รุ่นย่อยคือPR 90 กับ PR 100 ที่เมื่อแรกออกมายังมีปัญหาค่อนข้างมาก ต่อมาได้ปรับปรุงใหม่



- K6
เป็นซีพียูรุ่นแรกในการพัฒนาการของซีพียูในรุ่นที่ 6 ของ AMDและได้ใส่
ความสามารถMMX เข้าไปด้วย ทำให้เมื่อเทียบชั้นกับPentium รุ่นที่เป็น MMX แล้ว
เหนือกว่าเล็กน้อยโดยผ่ายนอกยังคงใช้บัส 66 MHz และแคชขนาด 256 KB ถึง
1MB แต่ความถี่สัญญาณนาฬิกาที่ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 166, 200, 233 และ 266 MHz
ตามลำดับ ส่วนเมนบอร์ด ซ็อคเก็ต และชิพเซ็ตจะใช้เหมือนกับ Pentium ทุกประกา
- AMD K6-2
ซีพียูรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ AMD ได้ใส่ชุดคำสั่ง 3Dnow! เข้าไปใน K6 เพื่อเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการประมวลผลคำสั่งที่มีข้อมูลมาก เช่นการคำนวณทางด้านสามมิติ โดยการเพิ่มจากชุดคำสั่ง MMX (ที่คอมเพตติเบิลกับของ INTEL) ซึ่งมีอยู่แล้วใน K6 นอกจากนี้ยังใช้บัส100 MHz และใช้ซ็อคเก็ต แบบ Socket 7 หรือ Super 7 แต่อย่างไรก็ตาม K6-2 ยังใช้ แคชระดับสองอยู่ ภายนอกซีพียู โดยมีขนาด 512 KB 1 MB หรือ 2 MB ซึ่งต้องทำงานที่ความเร็วกับบัสภายนอก ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หลังจากนั้นไม่นาน AMD ได้ออก K6-3 ที่มีแคชระดับสองอยู่ในตัว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แต่ K6-2 ก็ยังคงมีอยู่มากมายหลายรุ่น ซึ่งราคาถูกมากๆ เหมาะสำหรับผู้ต้องการเริ่มต้นซื้อเครื่องที่ลงทุนน้อยแต่ได้คุณภาพสูงพอสมควร ความเร็วของ ซีพียู รุ่นนี้มีตั้งแต่ 300 MHz ขึ้นไปจนถึง 475 MHz ซีพียูรุ่นนี้แม้จะมีความเร็วในระดับของ Pentium II แต่ก็ยังคงใช้เมนบอร์ดและซ็อคเก็ตแบบเดียวกับ Pentium ธรรมดา (Socket 7) เนื่องจากบัสและแคชมีโครงสร้างแบบเดียวกัน คืออยู่ภายนอกและทำงานที่ 100 MHzทำให้ประสิทธิภาพขึ้นไปเทียบกับ Pentium II ไม่ได้ (แคชทำงานช้ากว่า)จนกระทั่งมี K6-3 ที่มีแคชระดับสองอยู่ภายในออกมา


- AMD K6-3
ซีพียูรุ่นนี้เป็นการนำเอารุ่นเดิมคือ K6-2 มาเพิ่มแคชระดับสองขนาด 256 K เข้าไปในชิปและเพิ่มความสามารถในการรองรับแคชระดับสามที่อยู่ภายนอก (บนเมนบอร์ด) ได้อีกด้วย ทั้งขนาด 512 KB,1 MB,2MB ส่วนแคชระดับหนึ่งมี 32 KB แบบสองทาง บัสที่ใช้ในความถี่ 100 MHz ใช้ซ็อคเก็ตแบบ Super 7 และมีชุดคำสั่ง MMX 3DNow! เช่นเดียวกับ K6-2 ประสิทธิภาพที่ได้ใกล้เคียงกับ Pentium II ที่ใช้ความถี่เท่ากัน

- AMD Athlon (Classic)
โครงสร้างที่ล้ำสมัยกว่า และมีความเร็ว ในทุกๆ ด้านเหนือกว่าซีพียูที่ Intel ที่อยู่ให้ท้องตลาด ณ ขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของหน่วยประมวลผลเลข Floating point ซึ่ง AMD ไม่เคยทำได้เร็วเท่าของ Intel เลยแต่คราวนี้ก็ล้ำนำหน้าไปแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนราคาก็ยังคงต่ำกว่าของ Intel อยู่เสมอเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ของ Intel ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน Athlon มีความเร็วเริ่มต้นที่ 500 MHz ซึ่งเริ่มแรกเมื่อออกสู่ตลาดจะมีรุ่น 500,550, และ 600 จนถึง 850 MHz แล้ว ซึ่ง Athlon รุ่นแรกๆ จะผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.25 ไมครอน ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบตลับ SECC และใช้เทคโนโลยีระบบบัสแบบ EV6 ซึ่งสามารถทำงานทั้งขอบขาขึ้นและลงของสัญญาณนาฬิกาความถี่ 100 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส 200MHz พร้อมทั้งมีคำสั่ง MMX และ 3DNow! ที่มีการปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิ์ภาพในการทำงานด้านสามมิติที่ดีขึ้นโดยมีหน่วยความจำแคชรระดับ 1จำนวน 64+64KB และแคชระดับ 2 จำนวน 512KB อยู่บนตัวซีพียูแต่ทำงานที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของซีพียู แต่ในรุ่นหลังซึ่งมีความถี่สูงขึ้นก็ได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตไปเป็น 0.18 ไมครอน เหมือนกับที่ Intel เช่นเดียวกับที่ใช้ใน Pentium III ซีพียูรุ่น Athlon ของ AMD เป็นที่ฮือฮามากตั้งแต่เมื่อปลายปี1999เนื่องจากใครๆ ก็ช่วยกันลุ่นให้ AMD ทำได้ทำสำเร็จเพื่อไม่ให้ Intel ครองตลาดอยู่แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม Athlon ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของชิปเซ็ตและเมนบอร์ดที่สนับสนุน เนื่องจากแต่เดิมจะต้องพึ่งพาอาศัยให้ผู้อื่นคือบริษัทในไต้หวันอย่าง VIA และ SiS ผลิตให้ ทำให้ขาดแคลนและเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการทำตลาด (แถมยังมาเจอแจ็คพ็อตจากแผ่นดินไหวในไต้หวันเมื่อปลายปี พ.ศ. 2542อีก!) หรือไม่ก็ใช้ชิปเซ็ต AMD – 750 ของทาง AMD เอง แต่เมื่อซีพียูเริ่มได้รับความนิยมก็มีผู้เริ่มหันมาผลิตเครื่องและเมนบอร์ดโดยใช้ซีพียูรุ่นนี้ (Athlonจำเป็นต้องใช้เมนบอร์ดที่ทำมาสำหรับซีพียูรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะใช้กับเมนบอร์ดSlot1 ทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากมีโครงสร้างการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร แม้นจะใช้สล็อต ในลักษณะที่คล้ายกันกับ Slot1 ของIntel ก็ตาม แต่ก็ไม่เหมือน จึงตั้งชื่อเป็น Slot A ซึ่งมาจากแบบของชิป Alpha จาก Compaq/Digital ซึ่งทีมวิศวกรของ AMD ได้ต้นแบบชิปมาจากชิปดังกล่าว

- AMD Athlon (thunderbird)
เป็นรุ่นที่ได้การพัฒนาจาก Athlon Classic (รุ่นแรก) ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 0.18 ไมครอนตัวชิปเป็นแบบ PGA โดยในรุ่นนี้ได้ลดแคชระดับ 2 ลงเหลือ 256 KB แต่อยู่บนซีพียูชิ้นเดียวกับตัวชิปที่เรียกกันว่า on die จึง มีความเร็วเทียบเท่าซีพียูโดยใช้กับเมนบอร์ดที่ใช้ Socket 462 หรือ Socket A แต่ยังคงใช้ระบบบัสแบบ EV6 ซึ่งสามารถทำงานทั้งขอบขาขึ้นและลงของสัญญาณนาฬิกาความถี่ 100 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส200MHz เหมือนเดิม ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นโดยใช้สัญญาณนาฬิกาความถี่133 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส 266MHz และสามารถสนับสนุนหน่วยความจำหลักแบบ DDR SDRAM ทั้งแบบ PC1600 และPC2100 ซึ่งทำให้มีประสิทธิ์ภาพสูงขึ้นมากกว่าเดิม







- AMD Athlon4

แอธลอน4ตัวแรกที่เปิดตัวออกมาไม่ใช่รุ่นสำหรับเดสก์ทอปแต่กลับเป็นว่ากลายเป็นซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊คโดยมี 4 รุ่นแรกที่วางตลาดนั้น จะที่ความเร็วตั้งแต่ 850 , 950 และ1 GHz ซึ่งทั้ง 4 รุ่นนั้นทำงานที่แรงดันไฟฟ้า 1.4 โวลต์ และทั้งหมดทำงานที่ FSB200 MHzโดยใช้หน่วยความจำแบบ DDR SDRAM สำหรับขนาดของแคชภายในตัว Athlon 4 ยังคงไม่แตกต่างไปจากเดิม โดยใน Athlon 4 นี้ ยังคงมี แคช L1 อยู่ 64 KB เหมือนเดิมส่วนแคช L2 ก็ยังคงมีขนาดเท่าเดิมคือ128 KB และยังคงมีคุณสมบัติเหมือนเดิมที่ว่าแคช L1 และ L2 นั้นจะมีข้อมูลที่ไม่ซ้ำซ้อนกันนั้นหมายความว่าขนาดแคชโดยรวมของ Athlon 4 ก็คือ 384 KB

AMD AthlonMP
- Athlon MP นั้นจะมาพร้อมเทคโนโลยีชั้นนำมากมายอาทิเช่น Smart MP, สนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR(Double Data Rate), Fully-Pipeline Superscalar Floating Point Engine เป็นต้นซึ่งจะทำให้สามารถสร้างงานที่มีประสิทธิภาพได้อย่างมาก สนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR (Double Data Rate) ระบบแคชความเร็วสูงแบบ Hardware Prefetch Exclusive L2 TLB (Translation Look-aside Buffer) ใน Athlon MP นั้นได้มีการออกแบบระบบแคชแบบใหม่โดยใช้ระบบแคชที่มีคุณสมบัติ Exclusive L2 TLB และ Data Prefetch ซึ่วจะทำให้ระบบข้อมูลส่งข้อมูลมายังโปรเซสเซอร์ก่อนที่จะมีการเรียกใช้งาน ดังนั้นจึงสามารถลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลงานที่ทำได้ สนับสนุนคุณสมบัติ ECC (Error Correcting Code) ของ Advanced266 MHz Front Side Bus ใช้เทคโนโลยี 3DNow!(tm) Professional Athlon MP มีการเพิ่มคำสั่งใหม่เข้าไปถึง 52 คำสั่ง ทำให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ปรับแต่งมาสำหรับเทคโนโลยี 3DNow!(tm) Professional สามารถเพิ่มในการประมวลผลงานต่างๆดีขึ้น ใช้ Fully-Pipeline Superscalar Floating Point Engine เป็นวิธีการประมวลผลเลขทศนิยม (x87 floating point engine ) ที่เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณเลขทศนิยม ซึ่งจะทำให้คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพการสร้างสรรค์งานทางด้านภาพเคลื่อนไหว ด้านการออกแบบ และด้านภาพเหมือนจริงได้โดยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ทำงานบนสถาปัตยกรรมของ Socket A และชิปเซตAMD-760 MP แพลตฟอร์มเพียงหนึ่งคำที่ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนทางด้านดูแลรักษาง่ายต่อการอัพเกรด และสนับสนุนการใช้งานอย่างกว้างขวางในส่วนของชิปเซต AMD-760MP ถือว่าเป็นหัวใจหลักของระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงแบบหน่วยประมวลผลคู่ อย่าง AMD Athlon MP ซึ่งใช้เทคโนโลยี Smart MP มันถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถของระบบบัส266 MHz สนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR และการ์ดแสดงผลแบบAGP-4X นอกกจากนี้ยังมีหน่วยควบคุมหน่วยความจำและ I/O อันชาญฉลาดอีกด้วย





- AMD AthlonXP
คือซีพียู AthlonTM 4 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ระดับเดสก์ทอปนั้นเองโดยที่มีการพัฒนาความถี่ใช้งานให้สูงขึ้น และที่มาของ AthlonTM XP คือการตั้งชื่อให้สอดคล้องกับระบบปฏิบัติการใหม่ของMicrosoft คือ Windows XP นั้นเองเพื่อผลทางการตลาดและจะเห็นได้ว่า AMD ได้มีวิธีการนำเสนอชื่อซีพียูแตกต่างออกไปจากปกตินิยม คือไม่ใช้ความถี่ของสัญญาณมาเป็นชื่อรุ่น ทั้งนี้ทั่งนั้นเพราะเหตุผลการตลาดอีกเพราะว่าถ้าเทียบกันเฉพาะความเร็วของสัญญาณนาฬิกา Athlon กับ Pentium 4 นั้น AMD เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่ซีพียูของ AMD รุ่นนี้มุ่งเน้นที่ที่ประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดของตัวประมวลผล ในการทำงานแต่ละรอบสัญญาณนาฬิกาในการทำงาน มากกว่าที่จะเน้นการเพิ่มความถี่ของสัญญาณนาฬิกาในการทำงาน ซึ่งทาง AMD ได้คุยว่าถ้าเทียบสัญญาณนาฬิกาเดียวกันแล้ว Athlon XP จะเหนือกว่า Pentium 4 ซึ่งจากการทดสอบจากหลายแห่งก็เป็นเช่นนั้น เหตุนี้ทาง AMD จึงตั้งชื่อ Athlon XP ซึ่งมีความถี่สัญญาณนาฬิกา 1.33 GHz ว่า Athlon XP 1500+ เพราะว่า มีประสิทธิภาพการทำงานไม่ด้อยกว่า Pentium 4 1.5 GHz เช่นเดียวกับที่ตั้ง Athlon XPที่ทำงานความถี่ 1400 1467 1533 1600 MHz ว่า Athlon XP 1600+ 1700+ 1800+ 1900+ ตามลำดับ


-AMD Duron (Spitfire)
เป็นซีพียูใน K7 ของ AMD ที่พัฒนาต่อมาจาก Athlon (classic) แต่ผลิตออกมสำหรับตลาดละดับล่างเพื่อแข่งขันกับ ซีพียู Celeron ของ Intel โดยใช้ระบบบัส 200 MHz ซึ่งโครงสร้างจะเหมือนกับ Athlon(thunderbirds) และมีชุดคำสั่ง MMX และ 3DNow! ทำให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลด้านสามมิติ และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 0.18 ไมครอน มีหน่วยความจำแคชระดับ 1 จำนวน 128KB แต่ได้มีการลดหน่วยความจำแคชระดับ 2 ซึ่งอยู่บนตัวชิป on die เหลือเพียง 64 KB เท่านั้น เพื่อไม่ให้แย่งตลาดของ Athlon (thunderbirds) และยังใช้กับเมนบอร์ด Socket A แต่เมื่อเทียบประสิทธิภาพและราคาแล้วหน้าใช้กว่า Celeron ของ Intel เหลืออาจกล่าวได้ว่าใกล้เคียงPentium III เลยที่เดียว


- AMD DURON (Morgan)

DURON (Morgan) เป็นการพัฒนามาจาก DURON (Spitfire)เดิมโดยได้เปลี่ยน Core ที่ออกแบบมาใหม่ โดยได้เพิ่มความสามารถใหม่ดังนี้
- การสิ้นเปลืองพลังงานและความร้อนที่ลดลง
คุณสมบัติใหม่ภายใต้สถาปัตยกรรมใหม่ทีได้ถูกปรับปรุงขึ้นเป็นการประหยัดพลังงานจึงสามารถที่จะลดความร้อนของซีพียูลงได้ถึง 20% เลยที่ดียวเมื่อเทียบกับ DURON รุ่นเก่า และแรงดันจะลดลงโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ถูกใช้งาน
- Data Prefectch
ทั้ง Palomino และ Morgan ได้รวมเอาความสามารถในการคาดคะเนชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮาร์ดแวร์ที่จะต้องถูกประมวลผลมาเก็บไว้ในแคช โดยปกติแล้วชุดคำสั่งเหล่านี้จะถูกเรียกใช้จากหน่วยความจำหลักเมื่อไม่พบข้อมูลในหน่วยความจำแคชดังนั้น หลักการจึงมีอยู่ว่าให้ไปดึงชุดคำสั่งที่คาดว่าจะถูกเรียกใช้ให้ถูกโหลดเข่ามาในแคชก่อน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ให้ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น
- 3DNow! Professional
ทาง AMD ได้มีการผนวกชุดคำสั่ง 3DNow! Professional ด้วยการเพิ่มชุดคำสั่งอีก 52 คำสั่ง อีกทั้ง DURON (Morgan) ยังสนับสนุนการทำงานกับชุดคำสั่ง SSE ซึ่งเทียบเท่ากับชุดคำสั่งของ SEE ของ Pentium III นั้นเอง

- Future AMD
Duron (Morgan) จะเพิ่มขนาดของ FSB เป็น 266 - Athlon จะเป็นเทคโนโลยีมาผลิตที่ 0.13 ไมครอนแทน 0.18 ไมครอน ใน Athlon(Palomino) โดยใช้ชื่อว่า Athlon (Thoroughbred) และผนวกกับเทคโนโลยี PowerNow! 2 และหน่วนความจำแคชระดับสองเพิ่มขึ้นเป็น 512 KB - AMD Clawhammer และ Sledgehammer Clawhammer เป็น ซีพียู 64 BIT ตัวแรกที่พัฒนาจากตระกูล Athlon เดิมซึ่งClawhammer และ Sledgehammer จะมีชุดคำสั่ง 64 บิต เพิ่มเข้ามาโดยใช้เทคโนโลยี 0.13 ไมครอน โดยเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Thoroughbred core อีกทั้งยังสนับสนุน SSE II อีกด้วย แม้ว่าจะยังคงใช้Socket A เป็นอินเทอร์เฟซ แต่ระบบบัสถูกเปลี่ยนจาก EV6 ไปเป็น NUMA Bus Protocol ที่จะทำให้การใช้งานซีพียู พร้อมกันได้ถึง 8 ตัวหรือมากกว่า สามารถใช้ Bandwidth ของระบบบัสได้อย่างเต็มที่พร้อมๆ กัน ซึ่งจะรองรับการทำงานแบบ Multi Processor ในอนาคตได้อย่างดีส่วนของหน่วยความจำแคชระดับ 2 ที่คาดว่าจะถูกเพิ่มขึ้นนั้น Clawhammer จะมีแคชระดับ 2 จำนวน 512 KB ซึ่งแตกต่างจาก Sledgehammer จะมีแคชระดับ 2 เพิ่มมากถึง1MB เลยทีเดียว ในซีพียู Athlon หรือ Duron นั้นมีความยาว pipeline เพียงแค่10 pipeline แต่ใน Clawhammer นั้นทาง AMD จะเพิ่มจำนวน pipelineให้เป็น 12 pipelineเป็นผลให้ความเร็วที่ใช้ในการประมวลผลชุดคำสั่งของซีพียูนั้นเพิ่มขึ้นด้วย